เมนู

พรรณนาวงศ์พระสิขีพุทธเจ้าที่ 20



ต่อมาภายหลังสมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เมื่อกัปนั้นอันตรธาน
ไปแล้ว ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่อุบัติขึ้นในโลก 59 กัป
มีแต่แสงสว่างที่ปราศจากพระพุทธเจ้า เอกราชของกิเลสมารและเทวปุตตมาร
ก็ปราศจากเสี้ยนหนาม ในสามสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เกิดขึ้นแล้วในโลกสองพระองค์คือ พระสิขี ผู้ดุจไฟอันสุมด้วยไม้แก่นแห้งสนิท
ราดด้วยเนยใสมากๆ ไม่มีควัน และ พระเวสสภู. บรรดาพระพุทธเจ้าสอง
พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วบังเกิดใน
สวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้น ก็ทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของ พระนาง
ปภาวดีเทวี ผู้มีพระรัศมีงามดังรูปทองสีแดง อัครมเหสีของ พระเจ้าอรุณ
ผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง กรุงอรุณวดี ซึ่งมีแต่ทำกุศล ล่วง 10 เดือน ก็ประสูติจาก
พระครรภ์พระชนนี ณ นิสภะราชอุทยาน ส่วนโหรผู้ทำนายนิมิต เมื่อเฉลิม
พระนามของพระองค์ ก็เฉลิมพระนามว่า สิขี เพราะพระยอดกรอบพระพักตร์
พุ่งสูงขึ้นดุจยอดพระอุณหิส พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เจ็ดพันปี ทรง
มีปราสาท 3 หลังชื่อว่า1 สุจันทกสิริ คิริยสะ และ นาริวสภะ ปรากฏ
มีพระสนมกำนัลสองหมื่นสี่พัน มีพระนางสัพพกามาเทวี เป็นประมุข.
เมื่อพระโอรสพระนามว่า อตุละ ผู้ไม่มีผู้ชั่ง ผู้เทียบได้ด้วยหมู่แห่ง
พระคุณของพระนางสัพพกามาเทวีทรงสมภพ พระมหาบุรุษนั้น ก็ทรงเห็นนิมิต
4 ขึ้นทรงข้างต้น เสด็จออกมหาภิเนษกรณ์ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวช บุรุษ
หนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพัน พากันบวชตามเสด็จ. พระองค์อันบรรพชิตเหล่า
นั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร 8 เดือน ในวันวิสาขบูรณมี ทรงละการ
คลุกคลีด้วยหมู่ เสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดาปิยเศรษฐี สุทัสสนนิคม ถวาย
1. บาลีว่า สุวัฑฒกะ, คิริ, นารีวาหนะ

แล้วยับยั้งพักกลางวัน ณ ป่าตะเคียนหนุ่ม ทรงรับหญ้าคา 8 กำ ที่ดาบสชื่อ
อโนมทัสสีถวาย เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อต้น บุณฑรีกะ คือมะม่วงป่า.
เขาว่า แม้บุณฑรีกโพธิพฤกษ์นั้น ก็มีขนาดเท่าต้นแคฝอย วันนั้นนั่นเอง
มะม่วงป่าต้นนั้น สูงชะลูดลำต้นขนาด 50 ศอก แม้กิ่งก็ขนาด 50 ศอก
เหมือนกัน ดารดาษด้วยดอกหอมเป็นทิพย์ มิใช่ดารดาษด้วยดอกอย่างเดียว
เท่านั้น ยังดารดาษแม้ด้วยผลทั้งหลาย. มะม่วงต้นนั้น แถบหนึ่งมีผลอ่อน แถบ
หนึ่ง มีผลปานกลาง แถบหนึ่ง มีผลห่าม แถบหนึ่ง มีผลมีรสดี พรั่งพร้อม
ด้วยสีกลิ่นและรส เหมือนทิพยโอชาที่เทวดาใส่ไว้ ห้อยย้อยแด่แถบนั้นๆ ต้น
ไม้ดอกก็ประดับด้วยดอก ต้นไม้ผล ก็ประดับด้วยผล ในหมื่นจักรวาลเหมือน
อย่างมะม่วงต้นนั้น.
พระองค์ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง 24 ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ
อธิษฐานความเพียรมีองค์ 4 ครั้นประทับอย่างนั้นแล้ว ก็ทรงกำจัดกอง
กำลังมารพร้อมทั้งตัวมารซึ่งกว้างถึง 36 โยชน์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ดังนี้ ทรงยับยั้งใกล้ๆ โพธิพฤกษ์นั่นแล 7 สัปดาห์ ทรงรับอาราธนาของท้าว
มหาพรหม ทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของภิกษุแสนเจ็ดหมื่นที่บวชกับพระองค์
จึงเสด็จไปทางอากาศ ลงที่ มิคาจิระราชอุทยาน ใกล้ กรุงอรุณวดีราช-
ธานี
ซึ่งมีรั้วกั้นชนิดต่างๆ อันหมู่มุนีเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศ
พระธรรมจักรท่ามกลางหมู่มุนีเหล่านั้น ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่
ภิกษุแสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ก็มีพระชิน
สัมพุทธเจ้า พระนามว่า สิขี ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีบุคคลเทียบ.

พระองค์ทรงย่ำยีกองทัพมาร ทรงบรรลุพระสัม-
โพธิญาณสุงสุด ทรงประกาศพระธรรมจักรอนุเคราะห์
สัตว์ทั้งหลาย.
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า จอมมุนี ทรงประกาศ
พระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่สัตว์แสน
โกฏิ.

ต่อมาอีก พระสิขีพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระราชโอรสสอง
พระองค์คือ พระอภิภูราชโอรสและ พระสัมภวะราชโอรส พร้อมด้วย
บริวาร ใกล้กรุงอรุณวดีราชธานี ทรงยังสัตว์เก้าหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม.
นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ 2. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดแห่งคณะ ผู้
สูงสุดในนรชน ทรงแสดงธรรมอีก อภิสมัยครั้งที่ 2
ก็ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.

ส่วนครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์เพื่อหักรานความ
เมาและมานะของเดียรถีย์ และเพื่อเปลื้องเครื่องผูกของชนทั้งปวง ใกล้ประตู
สุริยวดีนคร ทรงแสดงธรรมโปรด อภิสมัยครั้งที่ 3 ก็ได้มีแก่สัตว์แปด
หมื่นโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
ในโลก ทั้งเทวโลก อภิสมัยครั้งที่ 3 ได้มีแก่สัตว์
แปดหมื่นโกฏิ.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งท่ามกลางพระอรหันต์หนึ่งแสนที่บวช
พร้อมกับพระราชโอรส คือ พระอภิภู และ พระสัมภวะ ทรงยกปาติโมกข์
ขึ้นแสดง. นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ 1 ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุแปดหมื่น
ที่บวชในสมาคมพระญาติ กรุงอรุณวดีทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง. นั้นเป็น

สันนิบาตครั้งที่ 2 พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลาง
ภิกษุเจ็ดหมื่นที่บวชในสมัยทรงฝึกพระยาช้างชื่อ ธนบาลกะในธนัศชัยนคร.
นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ 3. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
แม้พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ทรงมี
สันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มี
จิตสงบ คงที่ 3 ครั้ง.
ประชุมภิกษุหนึ่งแสน เป็นสันนิบาตครั้งที่ 3
ประชุมภิกษุแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ 2
ประชุมภิกษุเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ 3
ภิกษุสันนิบาต อันโลกธรรมไม่กำซาบแล้ว เหมือน
ปทุมเกิดเติบโตในน้ำ น้ำก็ไม่กำขาบ ฉะนั้น.


แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุปลิตฺโต ปทุมํว ความว่า ภิกษุ
สันนิบาตแม้นั้น แม้เกิดในโลก โลกธรรมก็ซึมกำซาบไม่ได้เหมือนปทุมเกิด
ในน้ำเติบโตในน้ำนั่นแล น้ำก็ซึมซาบไม่ได้ ฉะนั้น.
ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระราชาพระนามว่า
อรินทมะ ใน ปริภุตตนคร ไม่ทรงขัดข้องในที่ไหนๆ เมื่อพระสิขีศาสดา
เสด็จถึงปริภุตตนคร พระราชาพร้อมทั้งราชบริพาร เสด็จออกไปรับเสด็จ
มีพระหฤทัย พระเนตร และ พระโสตอันความเลื่อมใสให้เจริญแล้ว พร้อมราช
บริพาร ถวายบังคมด้วยพระเศียร ที่พระยุคลบงกชบาทไม่มีมลทินของพระ
ทศพล นิมนต์พระทศพล ถวายมหาทาน อันเหมาะสมแก่พระอิสริยะ สกุล
สมบัติและศรัทธา 7 วัน โปรดให้เปิดประตูคลังผ้า ถวายผ้ามีค่ามากแด่พระ-
ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายช้างต้นที่ป้องกันข้าศึกได้เหมือน